วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แนวเพลงต่างๆ



แนวเพลงต่างๆ



1) POP หรือดนตรีพ๊อพ Popย่อมาจากคำว่า Popular ที่มีความหมายว่า เป็นที่นิยมชมชอบกันทั่วไป ดนตรีพ๊อพจึงมีลักษณะที่ฟังง่าย ติดหู ทำนองไพเราะ ดนตรีไม่มีความสลับซับซ้อน เนื้อหากล่าวถึงความรัก ธรรมชาติ อารมณ์ต่างๆของผู้คนทั่วไปโดยรวมแล้วทุกๆเพลงจะมีลักษณะที่เด่นชัด ดังนั้นดนตรีพ๊อพจึงอาจจะเป็นดนตรี โพลค์ บูลส์ คันทรี่ ร็อค เฮฟวี่ แรป แด๊นซ์ ฯลฯ หรือดนตรีอะไรก็ตามที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบและฮิตเป็นบ้าเป็นหลัง

2) ROCK เป็นดนตรีที่มีจังหวะจะโคนเร่งเร้ากระชับหนักแน่นโยกย้ายส่ายสะโพกไปมาตามจังหวะด้อย่างเมามัน โดยมีที่มาจากดนตรีร็อคแอนด์โรลยุค 50's ตอนปลาย และยุค 60's ที่เรียกกันว่า 'Rock A Billy' หรือจากเพลง 'Rock Around The Clock' มีกลองให้จังหวะพร้อมกับริธึ่มของกีตาร์ที่หนักแน่น และเสียงร้องกระแทกกระทั้น เพื่อปลุกเร้าคนฟังให้เกิดอารมณ์สนุก เมามันส์ และปลดปล่อย ดนตรีร็อคได้พัฒนาให้มีจังหวะที่หนักแน่นและมีรายละเอียดในแง่ของลูกเล่นกีตาร์มากขึ้นและเร็วขึ้นเลยเรียกว่า ฮาร์ด ร็อค(Hard Rock)และพัฒนาให้มีความสลับซับซ้อนในโครงสร้างของเพลง และเนื้อหาที่เป็นเรื่องราวที่เรียกว่า โปรแกรสซีฟ ร็อค (Progressive Rock) โดยมีเครื่องดนตรีอย่างคีย์บอร์ดและออร็แกนเข้ามามีบทบาท และพัฒนามาจนถึงมีความหนักแน่นกร้าวร้าว หยาบคาย ทั้งในเนื้อหาและดนตรีที่เน้นหนักไปที่กี่ตาร์ริธึ่มและโซโล่เป็นพระเอกที่เรียกว่า เฮฟวี่เมทอล (Heavy Metal) เช่นวง Mattallica , Nirvana เป็นต้น

3) JAZZ เป็นดนตรีที่มีต้นกำเนิดมาจากทาสผิวดำที่ถูกนำมาเป็นทาสในอเมริกาแถบนิวออร์ลีน รัฐนี้จึงกลาเป็นรัฐของดนตรีแจ๊ซ โดยเริ่มแรกจากการที่ทาสผิวดำแหล่านี้มีรากฐานของดนตรีโซลและบูลส์อยู่บ้างแล้ว เพราะคนผิวดำที่ถูกต้อนมาจากทวีปอาฟริกานั้น เป็นชนเผ่าต่างๆที่มีวัฒนธรรมและประเพณีของตนเองติดตัวมาอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสได้พบประระหว่างทาสด้วยกัน ก็หันมาร้องรำทำเพลงบ้าง เข้าโบสถ์ชุมนุมกันบ้าง และจับเครื่องตนตรีต่างๆมาเล่นร่วมกัน ทั้งเครื่องเป่า เปียโนหรือตีตาร์ เมื่อหลุดพ้นจากการเป็นทาส หรือว่างงาน ก็จะมารวมตัวกันเล่นดนตรีตามงานศพต่างๆของคนผิวดำด้วยกัน เพื่อเป็นการระบายความต่ำต้อยของพวกเขาเอง ดนตรีแจ๊ซในนิวออร์ลีนก็ได้แพร่หลายจากงานต่างเหล่านี้ ซึ่งลักษณะเดนของดนตรีแจ๊ซค่อนข้างจะ ซับซ้อน ไพเราะ ปราณีต บรรจง และค่อนข้างจะอิงไปทางดน่ตรีคลาสสิคในยุคก่อนๆ เครื่องดนตรีที่เด่นๆของแจ๊ซคือ เครื่องเป่า กีตาร์ เปียโน บิดาของดนตรีแจ๊ซคือ หลุยส์ อาร์มสตรอง

4) SOUL & FUNK ดนตรีโซล เป็นรากฐานของดนตรีหลายๆแนวในปัจจุบันที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ เพราะโซลเป็นดนตรีที่มีความหมายของคำว่า “วิญญาณ” ซึ่งเป็นดนตรีที่เน้นไปทางเสียงร้อง และเอื้อนอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคนผิวดำ ที่ไม่มีชนชาติใดเลียนแบบได้ และเนื้อหาก็จะตีแผ่ถึงความลำบากในการใช้ชีวิตที่ตกเป็นทาส เสียงร้องจึงคล้ายกับการคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ดนตรีจะไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์ เปียโน หรือเครื่องเป่า ลักษณะที่สังเกตได้ง่ายจากดนตรีโซลรคือ ตนตรีคนดำใช้ร้องในโบสถ์ประสานเสียงร้องกันที่เรียกว่า Acapella เช่นดนตรีของ Marvin Gaye หรือ Diana Ross เป็นต้น ต่อมาก็เริ่มมีการพัฒนาโดยการนำเอาดนตรีโซลไปผสมผสานกับเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆขึ้น นอกเหนือจากเสียงร้องแล้ว อาจจะเน้นไปที่กีตาร์ กลอง โดยเฉพาะเสียงเบส ให้จังหวะจะโคนที่เด่นชัด และลื่นไหล สร้างอารมณ์ให้เต้นตามได้ ซึ่งต่อมาเรียกว่าดนตรี ฟังก์ (Funk) หรือ โซล-ฟังก์นั่นเอง ซึ่งก็มีศิลปินอย่าง James Brown , Stevie Wonder , Celine Dion , Mariah Carey เป็นต้น

5) BLUES เป็นดนตรีของคนผิวดำเช่นกับที่นำเสนอเรื่องราวของชีวิตที่ต้อยต่ำ ผ่านเสีงดนตรีคือ กีตาร์ที่เศร้าสร้อย หดหู่ จนน่าขนลุก บวกกับเสียงร้องที่แหบพร่าเหมือนการรคร่ำครวญคล้ายคนกำลังร้องไห้ โดยให้เสียงกีตาร์กับเสียงเครื่องเป่าฮาร์โมนิก้าเป็นสื่อถ่ายทอด ความเจ็บปวดเหล่านั้นอีกที เพื่อเป็นการตอกย้ำซึ่งถ้าในบ้านเราก้จะเรียกเพลงเหล่านี้ว่าเป็นเพลงเพื่อชีวิต มีศิลปินอย่าง Muddy Waters , Memphis Slim และ Sonny Boy Williamson เป็นผู้ให้กำเนิดตำนานบทนี้ และส่งผลเด่นชัดที่สุดต่อแนวเพลงริธึ่ม แอนด์ บูลส์ ในปัจจุบัน

6) RAP รากฐานที่แท้จริงของดนตรีจากคนผิวดำอีกแนว ที่ประทับตราได้เด่นชัดที่สุดกว่าแนวอื่นใดทั้งหมดที่เป็นของพวกเขา เพราะเป็นดนตรีที่มาจากการพร่ำป่น การเปล่งเสียงที่มาจากภายในของตัวคน ระบายออกมาเป็นท่วงทำนอง เป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน พรรณนา และปาฐกถา โดยไม่จำเป็นต้องมีเสียงดนตรี ซึ่งแม้แต่จังหวะก้สามารถใช้เสียงในลำคอคอยให้จังหวะได้ เนื้อหาก้ยังวนเวียนอยู่กั้บการถูกเอารัดเอาเปรียบเหมือนเดิม เป็นดนตรีที่พูดถึงความจริงได้ชัดเจนที่สุด เพราะเนื้อหาค่อนข้างเปิดเผย โผงผาง หยาบคายและด่าทอได้ถึงกึ๋น ต่อมาได้พัฒนามาเป็นดนตรี ฮิป-ฮอป (Hip-Hop) ซึ่งมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือ Turntable เป็นเครื่องดนตรีที่คอยให้จังหวะ

7) REGGE & LATIN MUSIC เป็นดนตรีพื้นเมืองของจาไมก้าที่มีเนื้อหาพูดถึงการเมือง และลัทธิรัสตาฟาเรียน โดยมีบ๊อบ มาเลย์เป็นสัญญลักษณ์ ซึ่งดนตรีเน้นที่กีตาร์เป็นจังหวะเด่นชัด และเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ จังหวะของดนตรีเร็กเก้จะให้ความสนุกสนานด้วยตัวของมันเองอย่างชัดเจน แม้เนื้อหาจะหนักแต่ดนตรีเรกเก้ก็ได้รับความนิยม อย่างแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยมีปรมาจารย์อย่าง King Tubby และ Augatus Pablo เป็นผู้ให้กำเนิด ส่วนดนตรีลาติน มิวสิคนั้น เป็นดนตรีประจำภาคพื้นทวีปอเมริกาใต้ ที่เน้นจังหวะที่มีเครื่องเคาะหลากหลาย เป็นแกนหลักของดนตรี ทำนอง และจังหวะจะผสมผสานระหว่างการเต้นระบำของคนพื้นเมือง ใส่ความสมัยใหม่ของเครื่องดนตรีอย่างกีตาร์ กลอง เบส และที่เป็นพระเอกอีกชิ้นก้คือ กีตาร์สไตล์ สแปนิช หรือสไตล์ลาติน ที่มีทำนองและเสียงไม่เหมือนกีตาร์ของชนชาติใด ศิลปินที่รู้จักกันดีคือ Ricky Martin ที่นำเอาดนตรีลาตินมาใส่กับดนตรีแด๊นซ์ของฝั่งอเมริกา



วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

เสาวรส

ประโยชน์ของเสาวรส

คุณค่าอาหารและสรรพคุณ เสาวรสประกอบด้วยน้ำตาลในปริมาณที่สูงพอสมควร มีวิตามินเอ วิตามินซี และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ดีต่อสุขภาพตา ช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ลดอาการเจ็บคอ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค กำจัดสารพิษในเลือด บำรุงผิวพรรณ และช่วยฟื้นฟูตับและไตที่อ่อนแอ ลดไขมันในเส้นเลือด
มาต่อกันด้วยวิธีทำน้ำปั่นเสาวรส  แสนอร่อยและมีประโยชน์

น้ำเสาวรสปั่น

น้ำเสาวรสปั่น
น้ำเสาวรสปั่น
ส่วนประกอบในการทำน้ำเสาวรสปั่น
  1. เสาวรสสุก 2-3 ผล
  2. น้ำเชื่อม 1/2 ถ้วย
  3. เกลือป่น 1/2 ถ้วย
  4. น้ำต้มสุกแช่เย็น 1 ถ้วย
ขั้นตอนการทำ
เสาวรสผลที่ดีต้องไม่เหี่ยว ผิวเต็งตรึง นำ้มาล้างให้สะอาดทั้งเปลือก ผ่าครึ่งผลตามขวาง ใช้ช้อนตักเมล็ด เนื้อ และ น้ำออกให้หมด นำมาปั่นกับน้ำต้มสุุกให้เข้ากันจนละเอียดกรองด้วยกระชอนกับผ้าขาวบาง เืพื่อแยกกากและเมล็ดออก พักไว้
เตรียมเครื่องปั่นใส่น้ำเสาวรสที่กรองเรียบร้อยแล้วลงในโถปั่น ใส่น้ำเชื่อม เกลือป่น และน้ำแข็งลงปั่น จนเป็นเกล็ดน่าทาน เสร็จแล้วจ้า น้ำปั่นเสาวรส ลองทำดูไม่ยาก และมีคุณค่า่ต่อร่างกาย

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประเพณีวิ่งวัวลาน

                  

ประเพณีการวิ่งวัวลาน



             
                                                                                                                                                                               ความเป็นมาของประเพณีวัวลาน ของจังหวัดเพชรบุรี มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้านมากมายหลายประเภท รวมทั้งกีฬาวัวลาน ซึ่งมีการเล่นกันจนเป็นประเพณีที่จังหวัดเพชรบุรีเป็นแห่งแรกโดยต่อมาได้ดัดแปลงมาใช้คนวิ่งแทนวัว โดยใช้กติกาเหมือนเดิมทุกอย่างและวิ่งกันอย่างจริงจัง มีผู้คนท้องถิ่นต่างๆ เดินทางมาแข่งขันด้วย ประเพณีวัวลานคนที่จังหวัดเพชรบุรี มีกำหนดไม่แน่นอน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าที่ไหนจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบางครั้งก็จัดในช่วงสงกรานต์
ประเพณีวัวลาน จะปักเสาเกียดอยู่กลางสนามเหมือนกับการแข่งขันวัวลานทั่วไป โดยใช้คนมาร้อยเป็นพวงเหมือนวัวลาน พวงละ ๒๐ คน ใช้เชือกเส้นใหญ่ผูกเป็นปมไว้ให้พอดีระหว่างคน แล้วใช้ผ้าขาวม้าพันหลังผูกไว้กับปม ลานที่วิ่งปูด้วยฟางข้าว โดยผู้วิ่งทุกคนต้องถอดเสื้อ และผู้ที่วิ่งในตำแหน่งวัวนอกกับวัวใน ต้องโพกผ้าสีแดงที่ศีรษะด้วย พวกที่มาแข่งขัน วัวลานคนต้องมีการฟิตซ้อมเป็นเดือน เพราะถ้าวิ่งไม่เข้าขากันจะทำให้เสียหลักหกล้ม พลอยทำให้คนอื่นหกล้มไปด้วย ก็ต้องถูกคัดออก เนื่องจากกติการกำหนดไว้ว่าทุกพวงต้องวิ่งให้ครบ ๓๐ รอบ พวงไหนหมดแรงจะถูกคัดออก บางพวกหกล้มและเหยียบกันก็มีแต่จะไม่ถือกันเพราะต้องการความสนุกสนานเท่านั้น
การแข่งไม่มีการแบ่งสาย ใช้รูปแบบแพ้คัดออกไปเลยรู้แพ้รู้ชนะกันด้วยวัวนอกกับวัวในเหมือนในกีฬาวัวลานทุกอย่าง เมื่อวิ่งครบ ๓๐ รอบแล้วหยุดทันที แล้วก็เอาแพ้ชนะกันด้วยการจับเวลา การแข่งขันวัวลาน (วัว) โดยทั่วไปคณะกรรมการอนุญาตให้ใช้ปฏัก เพื่อไล่กวดแทงวัวให้มันวิ่งสุดกำลังแต่สำหรับการแข่งขันวัวลานคนนั้นก็อนุญาติให้ใช้ปฏักได้เช่นกัน แต่เป็นปฏักที่ปลายไม้ไม่มีตะปูพี่เลี้ยงจะเอาไม้ที่ทำด้วยไม้ขนาดเหมาะมือ บริเวณปลายไม้ตกแต่งเป็นรูป“ปลัดขิก”  ทาหัวด้วยสีแดงวิ่งไล่แทงก้นวัวลานคนให้เร่งฝีเท้าเป็นที่สนุกสนานของผู้ชมทั่วสนาม การแข่งขันวัวลานคนจะสนุกสนานมีรสชาติที่สุดก็ตอนที่วัวลานคนวิ่งลื่นหกล้ม แล้วถูกคนที่วิ่งตามหลังมาล้มทับระเนระนาด และนั่นหมายถึงการถูกตัดสิทธิ์ ซึ่งต่างจากวัวลานที่มีความสนุกสนานอยู่ที่ช่วงวัวเกิดหลุดจากพวง แล้วตื่นคนวิ่งผ่านฝูงชนคนดูรอบๆ สนาม จึงต้องวิ่งหนีกันพัลวันการวิ่งวัวลานคนนั้นก็มีความสนุกสนานต่างจากการวิ่งวัวลานไปอีกแบบหนึ่งและที่สำคัญ คือการแข่งขันวัวลานคน มีเพียงแห่งเดียวในโลกที่จังหวัดเพชรบุรีเท่านั้น



วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ความเป็นมาของหอไอเฟล

หอไอเฟลเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส หากใครที่ได้ไปเมืองน้ำหอมแล้วไม่ได้ไปดูหอไอเฟลนี้เรียกว่ายังไปไม่ถึงก็ อาจจะเป็นได้ นักท่องเที่ยวมากมายก็สนใจไปดูหอไอเฟลนี้แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าประวัติ ความเป็นมาของเจ้าหอไอเฟลนี้ งั้นเราไปทำความรู้จักกับประวัติความเป็นของหอไอเฟลกันค่ะ
หอไอเฟลเป็นหอคอยเหล็กตั้งอยู่ที่ Champ de Mars ในกรุงปารีส เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส หอคอยแห่งนี้เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก

หอคอยแห่งนี้ถูกตั้งชื่อตามผู้ออกแบบคือ Gustave Eiffel ทำการสร้างในระหว่างปี 1887-1889 น้ำหนักของหอไอเฟลคือ 7300 ตัน ยอดของหอคอยสามารถเบนออกจากแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังยอดหอคอยถึง 18 เซ็นติเมตร (7นิ้ว) ทั้งนี้ขึ้นอยูกับอุณหภูมิของเหล็กด้านที่หันหน้าเข้าสู่แสงอาทตย์ซึ่งจะ ขยายตัวเนื่องจากความร้อนที่ได้รับ นอกจากนี้ตัวหอคอยแห่งนี้ยังมีการแกว่งตัวตามแรงลมอีกด้วย โดยการแกว่งตัวอยู่ที่ระดับ 6-7 เซ็นติเมตร (2-3นิ้ว)

ในการก่อสร้างหอคอยแห่งนี้ ใช้คนงานก่อสร้างถึง 300 คน เพื่อประกอบเหล็กจำนวน 18038 ชิ้นเข้าด้วยกัน โดยใช้หมุดถึง 2.5 ล้านตัว ความเสียงที่จะเกิดอุบัติเหตุระหว่างการก่อสร้างสูงมาก เนื่องจากหอไอเฟลแตกต่างจากตึกสูงในปัจจุบันตรงที่เป็นหอเปลือย ไม่มีจำนวนชั้น อย่างไรก็ตามมีการเตรียมตัวรักษาความปลอดภัยในการก่อสร้างอย่างเต็มที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในการก่อสร้างเพียงคนเดียวเท่านั้น(จริง อ่ะป่าวเนี่ย)

ในระหว่างการก่อสร้าง หอไอเฟลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงรูปร่างของหอคอย Gustave Eiffel ถูกกล่าวหาว่าพยายามสร้างงานศิลปะที่ดูแล้วไม่มีศิลปะ การก่อสร้างให้หอคอยแกว่งตัวได้ไม่คำนึงถึงหลักวิศวกรรมศาสตร์(แต่เราว่ามัน ก็สวยดีนะ) แต่อย่างไรก็ตาม Gustave Eiffel ซึ่งมีชื่อเสียงมาจากงานก่อสร้างสะพาน กลับเป็นผู้ที่เข้าใจความสำคัญของแรงลม และเป็นผู้ที่รู้ว่าการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในโลก(ในขณะนั้น) จะต้องแน่ใจว่ามันต้องต้านทานลมได้ และในตอนต้นศตวรรษที่ 20 หอไอเฟลถูกใช้เป็นศูนย์รับส่งสัญญานวิทยุ เมื่อปี 1909 ศูนย์วิทยุถูกก่อสร้างขึ้นอย่างถาวรที่หอไอเฟล และยังปรากฎให้เห็นในปัจจุบัน




วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ไวน์องุ่น

เริ่มต้นที่องุ่น
ไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง เกิดจากการหมักน้ำองุ่นด้วยเชื้อยีสต์ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง โดยยีสต์จะทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกฮอล์ ผลไม้ที่เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า ทำไวน์แล้วมีรสชาติอร่อยได้แก่

  • ผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น องุ่น สับปะรด มะเฟือง
  • ผลไม้ที่มีน้ำน้อย เช่น มะยม กระเจี๊ยบ มะดัน ขนุน ละมุด กล้วย ขิง พุทรา สตอเบอรี่ ฯลฯ
  • ผลไม้ที่ใช้ควรเป็นผลไม้ที่แก่ สุกงอมเต็มที่แล้ว เพราะต้องการกลิ่นกลมกล่อมของมัน
ถ้าทำไวน์องุ่น สามารถหมักได้ทั้งผลองุ่น เปลือก เนื้อ เมล็ด รวมทั้งกิ่งก้านก็ยังนำมาหมักได้ เปลือกองุ่นให้กรดแทนนินสูง เพราะมักจะมีละอองอณูของเชื้อยีสต์เป็นพันเป็นหมื่นตัวติดที่ผิวองุ่น และนี่เองที่เป็นตัวการสำคัญของเหล้าองุ่น ไวน์แดงใช้องุ่นกลุ่มสีแดง ม่วงดำ ไวน์ขาวจะทำจากกลุ่ม White Grape ที่ให้สีเหลือง เขียว เปลือกจะไม่มีสารแทนนินเท่ากลุ่มองุ่นแดง ฉะนั้นเหล้าแดงจึงมีแทนนินสูงกว่าเหล้าขาว
พร้อม...หมัก
เมื่อเราคั้นน้ำองุ่นออกมาก็จะนำไปหมักในถังหมัก ที่เรียกว่า วัตส์ ซึ่งมักจะเป็นถังไม้โอ๊ก น้ำที่ได้จากการหมัก เรียกว่า มัสต์ ซึ่งประกอบด้วยตัวยีสต์จำนวนมากนับล้านล้านตัว จะทำปฏิกิริยาละลายน้ำตาลจากความหวานของน้ำองุ่นให้เป็นแอลกอฮอล์โดยต้องหมักในสภาพที่ไม่ใช้อากาศ หรือออกซิเจน ถ้ามีอากาศ หรือออกซิเจน จะทำให้ยีสต์เปลี่ยนน้ำตาล ให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ เท่านั้น
เรื่องของยีสต์
ยีสต์ยังแบ่งได้เป็นยีสต์ดีกับยีสต์ไม่ดีอีกด้วย ยีสต์ดีจะเรียกว่า ไวน์ยีส เป็นจุดเริ่มของแอลกอฮอล์ ส่วนยีสต์ไม่ดีที่ต้องกำจัดเรียกว่า ไวลด์ยีสต์ เพราะเป็นตัวการที่ทำให้ไวน์เสียรสชาติ หรือที่เขาเรียกกันว่า ออฟเทสต์ จึงต้องกำจัดด้วยการใส่ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลงไปผสมในน้ำหมัก ซึ่งการใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์เพื่อกำจัดไวลด์ยีสต์นั้น เป็นวิธีการทำกันมาเนิ่นนานนับเป็นร้อยปี ไม่มีอันตรายและไม่ทำให้ไวน์เสียรสชาติด้วย
เมื่อกำจัดไวลด์ยีสต์เป็นที่เรียบร้อย ก็จะเหลือแต่ไวน์ยีสต์ สำหรับดำเนินการหมักต่อไป โดยต้องหมักในอุณหภูมิระหว่าง 70-80 องศาฟาเรนไฮต์ ไวน์ยีสต์จึงจะทำงาน ได้ดี ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไป ไวน์ยีสต์จะรวมตัวกันเป็นก้อนผลึกในน้ำไวน์ แต่ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านั้นไวน์ยีสต์จะอ่อนกำลัง ทำให้การหมักไม่สมบูรณ์ ปริมาณของแอลกอฮอล์จะไม่ขึ้นถึงจุดที่ต้องการ มัสต์ อาจจะเสียก่อนก็ได้
อุณหภูมิจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องให้ความสำคัญ ต้องควบคุมไม่ให้ร้อนเกินไปหรือเย็นเกินไป บางแห่งที่อุณหภูมิของอากาศขึ้นเร็วลงเร็ว ก็จะต้องเตรียมเครื่องทำความเย็นเอาไว้เพื่อลดความร้อนในถังหมัก
ฆ่าเชื้อก่อนบรรจุขวด
เมื่อหมักจนได้ที่ตามต้องการแล้ว บางคนอาจจะใช้ดื่มเลย เรียกว่า ไวน์สด แต่ก็อาจทำให้ท้องเสียได้ และไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน จึงควรต้มฆ่าเชื้อยีสต์ก่อน การต้มจะต้มแค่อุณหภูมิ 60-63 องศาเซลเซียส ไม่ต้มให้เดือด เพระแอลกฮอล์จะระเหย นาน 15-20 นาที และช่วงประมาณ 40 องศาเซลเซียส (ใช้เทอโมมิเตอร์วัด) จะต้องตีไข่ขาว แล้วใส่ผสมลงไปในไวน์ กะประมาณ 1 ฟอง ต่อไวน์ 10 ลิตร แล้วรอจนถึง 60 องศาเซลเซียส ประมาณ 15 นาที จึงปิดไฟแล้วถ่ายใส่ขวดแก้ว แล้วปิดฝาให้มิดชิดให้แน่น
จากนั้นไวน์เลิศรสก็นอนรอลูกค้าผู้มีรสนิยมมาเลือกซื้อ ดม ชิม อิ่มเอมกับความสุนทรีย์..และ..มีระดับเป็นลำดับต่อไป


วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

สหภาพยุโรป




    สหภาพยุโรป
    Europese Unie (EU) (สหภาพยุโรป) ประกอบด้วยประเทศสมาชิกต่างๆ ในทวีปยุโรป โดยมีจุดมุ่งหมาย เดียวกันก็ คือ เพื่อความร่วมมือ และรักษาไว้ซึ่งสันติภาพ

    ประเทศสมาชิก Europese Unie
    ปัจจุบัน สหภาพยุโรปประกอบไปด้วยประเทศสมาชิก 25 ประเทศ อันได้แก่ เบลเยี่ยม เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี่ ลักเซมเบอร์ก เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก ไอแลนด์ สหราชอาณาจักร กรีซ สเปน โปรตุเกส ออสเตรีย ฟินแลนด์ สวีเดน เชก เอสโทเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ฮังการี่ โปแลนด์ สโลวีเนีย สโลวาเกีย มอลต้า และ ไซปรัส
    ส่วนประเทศ บังแกเรีย โรมาเนีย และ ตุรกี นั้น กำลังจะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่


    สมาชิกสหภาพยุโรป: 25 ประเ่ทศ (ที่มา เวปไซด์สหภาพยุโรป)

    De Europese instellingen (สถาบันของสหภาพยุโรป)
    ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป ไ้ด้มอบอำนาจอธิปไตยส่วนหนึ่งของตนให้แ่ก่ Europese instellingen (องค์กรสหภาพยุโรป)

    สถาบันหลักของสหภาพยุโรป แบ่งออกเป็น 5 สถาบัน ได้แก่
    • Europees Parlement (รัฐสภายุโรป) ---> ประกอบด้วยตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง จากประชาชนในชาติของประเทศสมาชิก
    • Raad van de Europese Unie (คณะมนตรียุโรป) ---> ประกอบด้วยผู้นำฝ่ายบริหารจาก ประเทศสมาชิก
    • Europese Commissie (คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป) ---> เป็นองค์กรหลักเปรียบได้กับ ฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป
    • Hof van Justitie (ศาลยุติธรรม) ---> ควบคุมทุกอย่างที่เกี่ยวกับกฏหมาย
    • Rekenkamer (กรมคลัง) ---> ดูแลและควบคุมงบประมาณและการคลัง
    ประเทศเบลเยี่ยมตั้งอยู่ศูนย์กลางของยุโรป ดังนั้น จึงมีสถาบันหลักๆ ตั้งอยู่ที่ กรุงบรัสเซล ได้แก่ Europees parlement และ Europese Comissie อาจกล่าวได้ว่า กรุงบรัสเซล เป็นเมืองหลวงของ Europese Unie (สหภาพยุโรป)

    นอกจากสถาบันดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีสถาบันของสหภาพยุโรปอีก อันได้แก่
    • Europese Centrale Bank (ธนาคารกลางแห่งยุุโรป) ---> รับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับเงินยูโร
    • Europese Ombudsman (องค์กรกลางแห่งยุโรป) ---> เป็นศูนย์รับร้องเรียนของพลเมือง ยุโรปในเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันของสหภาพยุโรป
    การตัดสินใจทุกอย่างของสหภาพยุโรปนั้นจะออกมาในรูปแบบของสนธิสัญญา ข้อตกลงในสนธิสัญญานี้ จะต้องมาจากความเห็นชอบของประเทศสมาชิก

    ในระยะแรก กลุ่มประเทศสมาชิก รวมตัวกันโดยมีเหตุผลเพื่อ การค้า และ เศรษฐกิจ ปัจจุบัน ทางสหภาพยุโรป ได้มีีการร่วมมือกันในด้านต่างๆ รวมถึง ในเรื่องของ สิทธิของพลเมืองยุโรป ความมั่นคง และ สิ่งแวดล้อม

    สหภาพยุโรปมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อส่งเสริมการกินดีอยู่ดีแ่ก่พลเมืองในกลุ่มประเทศสมาชิก ทุกประเทศสมาชิกใช้เงินสกุลเดียวกัน คือ Euro ยกเว้น ประเทศอังกฤษ สวีเดน และ เดนมาร์ก


    De Schengen-landen (ประเทศกลุ่ม แชงเก้น)

    ประเทศสมาชิกในกลุ่มประเทศ แชงเก้น ได้เซ็นสัญญา ในสนธิสัญญาแห่งแชงเก้น นั่นก็คือ ประเทศเหล่านี้ จะยกเลิกการตรวจคนเข้าเมือง ตามจุดตรวจต่างๆ เพื่อเป็นการส่งเสริม การให้คนในกลุ่มสมาชิก ไปมาหาสู่กันได้สะดวกขึ้น
    ประเทศสมาชิกในกลุ่มประเทศ แชงเก้น ประกอบด้วย เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบอร์ก ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี่ กรีซ สเปน โปรตุเกส ออสเตรีย เดนมาร์ก นอร์เว ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ และ สวีเดน